แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหารการกิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหารการกิน แสดงบทความทั้งหมด

พุ้งพิ้งยักษ์ (หรือโทงเทงฝรั่ง, เคปกูสเบอร์รี อังกฤษ: Cape gooseberry)

          เจอพี่ที่ทำงานซื้อผลไม้อะไรมาสักอย่าง พอแกแกะดูก็อุทาน โอ้ "พุ้งพิ้งยักษ์"  (ทางภาคใต้เรียกโทงเทง ว่า พุ้งพิ้ง) อย่าหาว่าบ้านนอกเลยนะครับ เกิดมาผมก็พึ่งเคยเห็น ว่าพุ้งพิ้งลูกมันใหญ่จัง พี่ที่ทำงานเลยบอกว่าเป็น โทงเทงฝรั่ง หรือ เคปกูสเบอร์รี (Cape gooseberry) ผมก็บอกว่า อืมมันคล้ายกับพุ้งพิ้งแถวบ้านเลย เคยกินอยู่ตอนเด็ก แต่นี่ลูกใหญ่มาก จากภาพมันก็ใหญ่กว่าเหรียญบาทเล็ก

          ถามแกว่าซื้อมาจากไหน แกบอกว่าเค้ามาวางขายแถวตลาดวัดแขก ตอนแรกก็คิดว่าราคาไม่เท่าไหร พอถามราคาแก พี่แกบอกว่า กิโลละ 250 บาท นี่ซื้อมาแค่ครึ่งโล 55 ผมนี่อึ้งเลยครับ ไม่นึกว่าราคามันจะแพงขนาดนั้น เลยไปลองหาข้อมูลเปรียบเทียบดูว่ามันดียังไง

รูปจาก http://th.wikipedia.org 











ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/โทงเทง
โทงเทง หรือ พุ้งพิ้ง  (ชื่อวิทยาศาสตร์: Physalis minima Linn.) เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องที่ เช่น เชียงใหม่ เรียก ต้อมต๊อก หรือ บาตอมต๊อก ปัตตานี เรียก ปุงปิง หนองคาย เรียก ปิงเป้ง [1]เป็นไม้ล้มลุกฤดูเดียว สูง 30 - 40 เซนติเมตร ใบนุ่มและเรียบ ดอกสีเหลือง ผลสีเหลืองมีลักษณะคล้ายผลมะเขือเทศ มีกลีบเลี้ยงหุ้มรูปร่างเหมือนโคมไฟ ชอบดินทรายและที่แห้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

----------------------
ที่มา  : http://th.wikipedia.org/wiki/โทงเทงฝรั่ง
โทงเทงฝรั่ง หรือ เคปกูสเบอร์รี (อังกฤษ: Cape gooseberry) เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับมะเขือ มะเขือเทศ มะเขือยาว และมันฝรั่ง (ไม่เกี่ยวข้องกับกูสเบอร์รี) เป็นไม้ล้มลุกกิ่งสีม่วง มีลักษณะเป็นครีบ มีขนปกคลุมหนาแน่น ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ ดอกห้อยลง ก้านผลยาวกว่าก้านดอก ผลสดแบบเบอร์รี มีหลายเมล็ด รูปผลกลม สีเหลืองส้ม ผิวเกลี้ยง มีกลีบเลี้ยงติดทนจนเป็นผล เนื้อผลฉ่ำน้ำ มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก มีถิ่นกำเนิดจากพื้นที่สูงเขตร้อนในประเทศโคลอมเบีย เอกวาดอร์ เปรู และชิลี รวมทั้งในบราซิล เป็นพืชพื้นเมืองในบริเวณเปรูและชิลี ผลรับประทานสดหรือผสมในฟรุตสลัด มีรสเปรี้ยวอมหวาน ผลที่ต้มแล้วใส่พายหรือพุดดิ้ง แปรรูปเป็นแยมหรือเยลลี่ ในเม็กซิโกใช้กลีบเลี้ยงต้มรับประทานเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน ผลดิบเป็นพิษ ผลสุกรสหวานอมเปรี้ยว มีเพกตินมาก

แหม สรรพคุณค่อข้างเยอะ มิน่าเลยราคาแพง เห็นว่าตอนนี้  บ้านเราตอนนี้ก็มีแปลงปลูกเคพกูสเบอรี่ของเกษตรกรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ที่บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์  แล้วตอนนี้ก็เห็นว่า มีการเรียกชื่อใหม่ คือ “ระฆังทอง” หรือ “Golden Bell” ครับผม

อาหารอีสานรสเด็ด “ก้อยหอยเชอรี่”

          ไปเหนือคราวนี้ อาหารอีกจานที่ผมได้ลองทานคือ “ก้อยหอยเชอรี่” ครับ หอยนี้จะใช้ หอยโข่งหรือหอยเชอรี่ก็ได้ แต่ในที่นี้ที่เค้าหามาได้เป็นหอยเชอรี่ครับ เห็นน่าอร่อยดี เลยขอวิธีทำมา มาดูกัน
เครื่องปรุงประกอบไปด้วย 
- หอยโข่ง หรือ หอยเชอรี่ (ต้องทำให้สุกนะครับ เพราะมันมีพยาธิมาก)
- พริกป่น
- ข้าวคั่ว
- เกลือ
- น้ำปลา
- ต้นหอม + ผักชี
- หอมแดง
- ผักชีฝรั่ง
- สะระแหน่
- มะนาว

วิธีทำ

- เริ่มด้วยการลวกหอย แค่พอให้ฝาเปิด เดี๋ยวหอยจะเหี่ยวเกิน เนื้อไม่อร่อย จากนั้นก็แกะเอาแต่เนื้อหอยมาล้างให้สะอาด ถ้าจะให้ดีขย้ำกับเกลือเล็กน้อย 

 จากนั้นก็หั่นหอยเป็นชิ้นๆ

- เข้าสู่ขั้นตอนการปรุงเลยแล้วกัน   ง่ายๆ แบบบ้านๆ ด้วยการหั่นหอมแดง ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ซอย

นำลงไปคลุก ตามด้วยพริกป่น (เผ็ดมากเผ็ดน้อยตามชอบ) ใส่ข้าวคั่ว ตามด้วยเกลือเล็กน้อย เหยาะน้ำปลาลงไปอีกนิดหน่อย อย่ามากเดี๋ยวเค็มแล้วจะหาว่าไม่เตือน  สุดท้ายเพิ่มความเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาว ของทุกอย่างใส่ได้ตามชอบ

 - จากนั้นก็คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ


เท่านี้ก็ได้เมนู “ก้อยหอยเชอรี่” อร่อยๆแล้ว ถ้าได้นั่งจิบกับเบียร์เย็นๆ ขอบอกว่าแซ่บหลาย ^_^

ฝากด้วยสาระจาก
http://th.wikipedia.org/wiki/หอยเชอรี่
          หอยเชอรี่ หรือ หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือ หอยเป๋าฮื้อน้ำจืด (อังกฤษ: Golden applesnail, Channeled applesnail; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pomacea canaliculata) เป็นหอยน้ำจืดจำพวกหอยฝาเดียว สามารถแบ่งหอยเชอรี่ได้ 2 พวก คือ พวกที่มีเปลือกสีเหลืองปนน้ำตาล เนื้อและหนวดสีเหลือง และพวกมีเปลือกสีเขียวเข้มปนดำ และมีสีดำจาง ๆ พาดตามความยาว เนื้อและหนวดสีน้ำตาลอ่อน หอยเชอรี่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ลูกหอยอายุเพียง 2 – 3 เดือน จะจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา หลังจากผสมพันธุ์ได้ 1 – 2 วัน ตัวเมียจะวางไข่ในเวลากลางคืน โดยคลานไปวางไข่ตามที่แห้งเหนือน้ำ เช่น ตามกิ่งไม้ ต้นหญ้าริมน้ำ โคนต้นไม้ริมน้ำ ข้าง ๆ คันนา และตามต้นข้าวในนา ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่มยาว 2 – 3 นิ้ว แต่ละกลุ่มประกอบด้วยไข่เป็นฟองเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ประมาณ 388 – 3,000 ฟอง ไข่จะฟักออกเป็นตัวหอยภายใน 7 – 12 วัน หลังวางไข่

        
http://th.wikipedia.org/wiki/ก้อย
          ก้อย เป็นอาหารท้องถิ่นทางภาคอีสาน คล้ายกับลาบ และ ส้มตำ นิยมปรุงจากเนื้อสัตว์ดิบรวมถึงไข่และตัวอ่อนของแมลงทีกินได้ เช่น เนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อหมูป่า เนื้อปลา (ตะเพียน หรือ ปลาขาว) กุ้งฝอย หอยเชอรี่ กิ้งก่า (กะปอม) ไข่มดแดง ไข่แมงมัน ตัวอ่อนตัวต่อเป็นต้น ไม่นิยมปรุงจากเนื้อสัตว์ปีก เช่น นก เป็ด ไก่ เพราะจะมีกลิ่นคาว และเหม็นสาบ รุนแรง

กินไปวันๆ

          "อาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต" ประโยคข้างต้นคงไม่มีใครกล้าเถียงเป็นแน่ ไม่ว่าจะกินวันละมื้อ วันละสองมื้อ หรือกินครบสามมื้อ  อีกอย่างหนึ่งสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิซ ที่จากบ้านมาทำงานในเมืองกรุง มาอยู่ห้องพัก อพาร์ทเมนท์ บ้าน หรือคอนโด ก็แล้วแต่ฐานนะของแต่ละคน การหาอาหารกินนี่ ถ้าไม่ได้เข้าครัวทำเอง แล้วดันไปพักในแหล่งที่เราไม่มีร้านอาหารที่ชอบ ถือว่าเป็นความลำบากอย่างยิ่ง เชื่อไหม
          วันนี้ไม่ได้มาเขียนเรื่องอะไรเกี่ยวกับอาหารสุขภาพ หรืออะไรทั้งนั้น แต่จะมาเล่าว่าในยุคอาหารจานด่วนแบบนี้ กินอะไรบ่อยที่สุด (หมายถึงตัวผมเองนะ ไม่ได้มีผลสำรวจจากสถาบันไหนๆทั้งนั้น 55)

          1.ข้าวมันไก่  จานนี้หาง่าย ทั้งแถวหอพักที่อยู่ และที่ทำงาน มีหลายร้าน แต่ก็ไม่ได้อร่อยหมดทุกร้าน ( ผมอยู่แถวประตูน้ำ มีร้านข้าวมันไก่ที่เค้าว่าดังๆ หลายร้านให้นั่ง)

           2.แกงกะทิหมูกับมะเขือพวง  ถ้วยนี้จะหายากสักหน่อย นอกจากจะทำกินเอง แล้วต้องใช้พริกแกง กะปิทางใต้ด้วยนะครับถึงจะอร่อย ถ้าหาที่ร้านก็นานๆทางร้านเค้าจะทำสลับมาขาย แต่ก็อร่อยดี
           3.ส้มตำปูม้า จานนี้ก็เป็นจานโปรดจานหนึ่งเหมือนกัน กินบ่อย มีร้านเดียวหน้าหอพักที่ตำอร่อย และขายถูก 30-50 บาท แต่ส่วนมากจะมาซื้อตอนไม่ทันปูม้าซักที หมดตั้งแต่หัววันกันเลยทีเดียว

           
          4.ข้าวเหนี่ยว - ไก่ทอด   วันไหนรีบๆ ซื้อข้าวเหนียวห่อนึง ไก่ชิ้นสองชิ้น อยู่ได้อีกครึ่งวัน แต่ร้านที่จะซื้อก็ต้องเลือกหน่อย บางร้านแหม น้ำมันไม่เคยเปลี่ยนเอาเลย แต่ร้านนี้ที่ซื้อบ่อยๆ สะอาดรัดับนึง เปลี่ยนน้ำมันทุกวัน


          5.มะตะบะ  แถวหอพักอีกนั่นแหละ มีขายอยู่เป็นพี่ผู้หญิง แกเป็นคนต่างชาติ แต่ฟังและพูดไทยได้ค่อนข้างชัด แกทำสะอาดและอร่อยด้วย แถมราคาไม่แพง

          6.น้ำพริก ผักต้ม ในรูปนี้ลืมถ่ายรูปน้ำพริกไว้ มีเจ้าประจำเจ้าหนึ่ง ตำได้ค่อยข้างถึงรส ส่วนมากก็จะชอบกินน้ำพริดแมงดาปลาทู ตำใหม่ถุงนึงก็ประมาณ 30 บาท

           7. สลัดรวม วันไหนเกิดรักสุขภาพ ไม่อยากทานเนื้อสัตว์ ก็จัดสลัดมากินกันครับ สำคัญของสลัดก็คือน้ำสลัดนี่แหละ ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย

           8. ไข่ดาว ช่วงวันไหนวันหยุดยาวละก็ ตลาดปิด ไม่มีอะไรให้หาซื้อกิน ไข่เจียวหรือไข่ดาวนี่แหละครับ สามารถกินกับข้าวร้อนๆ อยู่รอดได้อีกหนึ่งมื้อ 55

          จบแล้วสำหรับเมนูที่กินบ่ิยๆๆ บางรายการก็เพื่อสุขภาพบ้าง บางเมนูก็เพื่อสนองความอยากกินบ้าง บางเมนูก็เพื่อประทังชีวิตบ้าง เพื่อนๆละครับวันหนึ่งๆ ทานอาหารอะไรกันบ้าง

ต้มยำปลารสแซ่บ

                                                   ต้มยำปลารสแซ่บ
เครื่องปรุง
1. ปลาหั่นเป็นชิ้น (แล้วแต่ชอบเนื้อปลาอะไร ปลานิล ปลาช่อน ปลาทับทิมฯลฯ)
2. เห็ดฟาง
3. ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด
4. พริกสด
5. เกลือป่น
6. มะนาว
7. มะเขือเทศ (หั่นเป็นชิ้น)

วิธีทำ
1. ตั้งหม้อให้น้ำพอเดือดใส่ตะไคร้


ตามด้วยข่าหั่นเป็นชิ้น


ใส่เกลือประมาณ 2 ช้อนชา


2. โขลกพริกสดใส่ตามชอบ (ชอบเผ็ดก็ใส่เยอะหน่อย)  
ตามด้วยน้ำมะนาวสัก 2 ลูก ค่อยๆใส่ อย่าให้เปรี้ยวเกิน เดี๋ยวจะแก้ไขลำบาก หากยังไม่เปรี้ยวก็เพิ่มมะนาวตามที่หลังได้ 



จากนั้นก็ตามด้วยมะเขือเทศและเห็ดฟาง



3. รอให้หม้อเดือดเต็มที่ ใส่เนื้อปลาลงไป (ใส่เนื้อปลาแล้วห้ามคนหม้อนะคะ นอกจากจะทำให้เนื้อปลาเละ อาจทำให้มีกลิ่นคาวได้)
รอให้เนื้อปลาสุกใส่ใบมะกรูด ก็เป็นอันเสร็จสิ้น


ง่ายๆเท่านี้คุณก็จะได้กินต้มยำปลารสแซ่บ แบบง่ายๆ แต่รสชาติอร่อยแน่นอนคะ



ผัดกะเพรากบ แบบบ้านๆ

          ผัดกะเพรากบ (แบบบ้านๆ) ชื่อเมนูก็บอกให้รู้อยู่แล้วคะว่าเป็นเมนูที่ทำกินกันแบบง่ายๆ สไตล์ชาวบ้านจริงๆ ก่อนอื่นเรามารู้จักเครื่องปรุงกันก่อนแล้วกัน
เครื่องปรุง
1. กบ (หั่นเป็นชิ้น)
2. ใบกะเพรา
3. น้ำมันพืช
4. กระเทียม
5. พริกสด
6. น้ำปลา / ซอสปรุงรส
7. ผงรสดี
8. ใบอ่อนยอดต้นสน (อันนี้ใครไม่เคยกินก็ไม่ต้องใส่ก็ได้คะ แต่หากใครได้ลองชิมจะบอกว่ารสชาดดี)

กบ (หั่นเป็นชิ้น)
ใบอ่อนยอดต้นสน

วิธีทำ
     หั่นกบเป็นชิ้นเตรียมไว้ บางคนไม่ชอบทางหนังกบก็ให้แม่ค้าลอกหนังออกให้เสร็จสรรพได้เลย ตั้งกะทะใส่น้ำเล็กน้อย เพื่อรวนกบให้สุกและแห้งก่อน (อย่าใส่น้ำมากนะ เดี๋ยวจะแห้งยาก และคอยตักน้ำทิ้งได้) 
ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย ตามด้วยพริกสดและกระเทียมที่โขลกเข้ากันไว้แล้ว


          ในระหว่างนี้ผัดไปเติมน้ำปลากับซอสปรุงรส ตามด้วยผงรสดีเล็กน้อย เรียกว่าเติมตามชอบเลยคะ อย่าลืมว่าเมนูนี้เป็นกะเพราะต้องรสจัดนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ กำลังดีคะ ผัดให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ก่อนยกลงใส่ใบกะเพราและใบอ่อนยอดสนลงไป ผัดให้เข้ากันเล็กน้อย ยกลงพร้อมเสิร์ฟได้เลย




ผัดกะเพรากบ
ปิดเมนู ขอเสริมอีกเล็กน้อย สำหรับท่านที่ชอบกลิ่นเครื่องเทศ ลองโขลกเครื่องเทศลงไปผสมกับกระเทียม พริกสดได้นะ รับรองว่าจะยิ่งชวนให้มีกลิ่นหอมน่ากินสุดๆ แต่ใครไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศก็ไม่ต้องใส่ได้จร้า

ผัดพริกแกงกุ้งใส่สะตอ

    พอนึกถึงผัดพริกแกงกุ้งใส่สะตอ กับข้าวสวยร้อนๆแล้วก็คงทำให้หลายคนเกิดอาการอยากกินข้างขึ้นมาทันที วันนี้มาลองหัดทำกันเลยดีกว่า แล้วจะบอกว่าง่ายมากๆ แถมวัตถุดิบก็มีไม่กี่อย่าง พระเอกนากเองงานนี้ก็คงหนีไม่พ้น กุ้งกับสะตอค่ะ

เครื่องปรุง
1. พริกแกงเผ็ด
2. กะปิเคอย
3. น้ำปลา
4. น้ำมันพืช
5. กุ้ง
6. สะตอ (พระเอกของเมนูนี้เลยล่ะ)



วิธีทำ

   ตั้งกะทะเทน้ำมันลงพอประมาณ ตามด้วยพริกแกงเผ็ดและกะปิเคอย ผัดจนกลิ่นหอม

 
จากนั้นก็ใส่สะตอที่ปลอกผ่าครึ่งแล้วลงไป ผัดจนสะตอเริ่มสุกใส่น้ำปลาเพิ่มรสชาดเล็กน้อย



                          เติมน้ำต้มสุกหรือน้ำซุบได้นะค่ะ เพื่อไม่ให้ติดกะทะจนเกินไป

                        ตามด้วยใส่กุ้งลงไปผัดให้เข้ากัน พอกุ้งสุกก็ตักใส่จานได้เลยล่ะคะ


                             หน้าตาน่าทาน ผัดสะตอใส่กุ้ง กินกับข้าวสวยร้อนๆ



แกงหน่อไม้ใส่เห็ด

     วันนี้เรามีเมนูเพื่อสุขภาพง่ายๆมาฝากค่ะ "แกงหน่อไม้ใส่เห็ด"

เครื่องปรุง
1. น้ำย่านาง
2. หน่อไม้สด (ต้มให้จืด)
3. เห็ดต่างๆ (เห็ดฟาง เห็ดขอน เห็ดถอบ เห็ดอื่นๆตามชอบค่ะ)
4. เกลือ
5. กะปิ หรือ จะเปลี่ยนเป็นน้ำปลาร้าก็ได้ (ตามชอบค่ะ)
6. พริกสด                                                  
 

วิธีทำ
     -  ต้มน้ำย่านาง ใส่หน่อไม้ลงไปได้เลยค่ะ เติมเกลือประมาณ 1 ช้อนชา กะปิ 1 ช้อนชา พริกสดโขลกเล็กน้อยพอแตก ต้มจนเดือดให้กะปิละลาย  ตั้งหม้อทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ใส่เห็ดลงไป

                  ปิดฝาหม้อทิ้งไว้อีกสัก 10-15 นาที ให้เห็ดสุก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
                           เห็นน้ำดำๆ ไม่ต้องตกใจนะค่ะ น้ำย่านางล้วนๆ มีประโยชน์ค่ะ

หมูผัดพริกแกงถั่วฝักยาว

          หมูผัดพริกแกงถั่วฝักยาว เป็นอาหารอีกจานที่ทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาปรุงไม่นาน วันนี้มาแนะนำเมนูนี้กัน ก่อนอื่นเราก็มาดูส่วนผสมกันก่อน

 ส่วนผสมหมูผัดพริกเเกงถั่วฝักยาว  

1. หมูเนื้อแดง ( หรือหมู 3 ชั้น)
2. ถั่วฝักยาว
3. น้ำมันพืช
4. น้ำตาลทราย
5. น้ำปลา
6. พริกชี้ฟ้าแดง
7. พริกแกงเผ็ด
8. กระเที่ยม
9. พริกไทยอ่อน
10.ใบมะกรูด





วิธีการทำ

1. หั่นถั่วฝักยาวแบบเฉียง พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง  และหมูสามที่เตรียมไว้


 2. ตั้งน้ำมันในกระทะใช้ไฟร้อนพอปานกลาง จากนั้นเอากระเทียวเจียวน้ำมัน (น้ำมันไม่ต้องเยอะ บางสูตรก็เอาหมูผัดกับพริกแกงเลย ไม่ใส่น้ำมัน อันนั้นแล้วแต่สุตรใครสูตรมัน) เอาหมูลงผัดจนเกือบสุก


3.  จากนั้นจึงใส่เนื้อหมูและถั่วฝักยาวลงไป ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงไปผัดจนหอม ผัดจนเนื้อหมูเกือบสุกและถั่วฝักยาวนิ่ม


3. บางที่จะใส่กะทิลงไปเล็กน้อย ผัดสักพักให้เข้ากันดี ปรุงรสด้วยน้ำปลา, น้ำตาลและเกลือ ตามชอบ ถ้าให้ดี ใส่พริกไทยอ่อนและใบมะกรูด จะหอมมาก จากนั้นก็รับประทานได้เลย


Advertisement