แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหารคาว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหารคาว แสดงบทความทั้งหมด

อาหารอีสานรสเด็ด “ก้อยหอยเชอรี่”

          ไปเหนือคราวนี้ อาหารอีกจานที่ผมได้ลองทานคือ “ก้อยหอยเชอรี่” ครับ หอยนี้จะใช้ หอยโข่งหรือหอยเชอรี่ก็ได้ แต่ในที่นี้ที่เค้าหามาได้เป็นหอยเชอรี่ครับ เห็นน่าอร่อยดี เลยขอวิธีทำมา มาดูกัน
เครื่องปรุงประกอบไปด้วย 
- หอยโข่ง หรือ หอยเชอรี่ (ต้องทำให้สุกนะครับ เพราะมันมีพยาธิมาก)
- พริกป่น
- ข้าวคั่ว
- เกลือ
- น้ำปลา
- ต้นหอม + ผักชี
- หอมแดง
- ผักชีฝรั่ง
- สะระแหน่
- มะนาว

วิธีทำ

- เริ่มด้วยการลวกหอย แค่พอให้ฝาเปิด เดี๋ยวหอยจะเหี่ยวเกิน เนื้อไม่อร่อย จากนั้นก็แกะเอาแต่เนื้อหอยมาล้างให้สะอาด ถ้าจะให้ดีขย้ำกับเกลือเล็กน้อย 

 จากนั้นก็หั่นหอยเป็นชิ้นๆ

- เข้าสู่ขั้นตอนการปรุงเลยแล้วกัน   ง่ายๆ แบบบ้านๆ ด้วยการหั่นหอมแดง ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ซอย

นำลงไปคลุก ตามด้วยพริกป่น (เผ็ดมากเผ็ดน้อยตามชอบ) ใส่ข้าวคั่ว ตามด้วยเกลือเล็กน้อย เหยาะน้ำปลาลงไปอีกนิดหน่อย อย่ามากเดี๋ยวเค็มแล้วจะหาว่าไม่เตือน  สุดท้ายเพิ่มความเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาว ของทุกอย่างใส่ได้ตามชอบ

 - จากนั้นก็คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ


เท่านี้ก็ได้เมนู “ก้อยหอยเชอรี่” อร่อยๆแล้ว ถ้าได้นั่งจิบกับเบียร์เย็นๆ ขอบอกว่าแซ่บหลาย ^_^

ฝากด้วยสาระจาก
http://th.wikipedia.org/wiki/หอยเชอรี่
          หอยเชอรี่ หรือ หอยโข่งอเมริกาใต้ หรือ หอยเป๋าฮื้อน้ำจืด (อังกฤษ: Golden applesnail, Channeled applesnail; ชื่อวิทยาศาสตร์: Pomacea canaliculata) เป็นหอยน้ำจืดจำพวกหอยฝาเดียว สามารถแบ่งหอยเชอรี่ได้ 2 พวก คือ พวกที่มีเปลือกสีเหลืองปนน้ำตาล เนื้อและหนวดสีเหลือง และพวกมีเปลือกสีเขียวเข้มปนดำ และมีสีดำจาง ๆ พาดตามความยาว เนื้อและหนวดสีน้ำตาลอ่อน หอยเชอรี่เจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ลูกหอยอายุเพียง 2 – 3 เดือน จะจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา หลังจากผสมพันธุ์ได้ 1 – 2 วัน ตัวเมียจะวางไข่ในเวลากลางคืน โดยคลานไปวางไข่ตามที่แห้งเหนือน้ำ เช่น ตามกิ่งไม้ ต้นหญ้าริมน้ำ โคนต้นไม้ริมน้ำ ข้าง ๆ คันนา และตามต้นข้าวในนา ไข่มีสีชมพูเกาะติดกันเป็นกลุ่มยาว 2 – 3 นิ้ว แต่ละกลุ่มประกอบด้วยไข่เป็นฟองเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นระเบียบสวยงาม ประมาณ 388 – 3,000 ฟอง ไข่จะฟักออกเป็นตัวหอยภายใน 7 – 12 วัน หลังวางไข่

        
http://th.wikipedia.org/wiki/ก้อย
          ก้อย เป็นอาหารท้องถิ่นทางภาคอีสาน คล้ายกับลาบ และ ส้มตำ นิยมปรุงจากเนื้อสัตว์ดิบรวมถึงไข่และตัวอ่อนของแมลงทีกินได้ เช่น เนื้อวัว เนื้อกวาง เนื้อเก้ง เนื้อหมูป่า เนื้อปลา (ตะเพียน หรือ ปลาขาว) กุ้งฝอย หอยเชอรี่ กิ้งก่า (กะปอม) ไข่มดแดง ไข่แมงมัน ตัวอ่อนตัวต่อเป็นต้น ไม่นิยมปรุงจากเนื้อสัตว์ปีก เช่น นก เป็ด ไก่ เพราะจะมีกลิ่นคาว และเหม็นสาบ รุนแรง

ต้มยำปลารสแซ่บ

                                                   ต้มยำปลารสแซ่บ
เครื่องปรุง
1. ปลาหั่นเป็นชิ้น (แล้วแต่ชอบเนื้อปลาอะไร ปลานิล ปลาช่อน ปลาทับทิมฯลฯ)
2. เห็ดฟาง
3. ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด
4. พริกสด
5. เกลือป่น
6. มะนาว
7. มะเขือเทศ (หั่นเป็นชิ้น)

วิธีทำ
1. ตั้งหม้อให้น้ำพอเดือดใส่ตะไคร้


ตามด้วยข่าหั่นเป็นชิ้น


ใส่เกลือประมาณ 2 ช้อนชา


2. โขลกพริกสดใส่ตามชอบ (ชอบเผ็ดก็ใส่เยอะหน่อย)  
ตามด้วยน้ำมะนาวสัก 2 ลูก ค่อยๆใส่ อย่าให้เปรี้ยวเกิน เดี๋ยวจะแก้ไขลำบาก หากยังไม่เปรี้ยวก็เพิ่มมะนาวตามที่หลังได้ 



จากนั้นก็ตามด้วยมะเขือเทศและเห็ดฟาง



3. รอให้หม้อเดือดเต็มที่ ใส่เนื้อปลาลงไป (ใส่เนื้อปลาแล้วห้ามคนหม้อนะคะ นอกจากจะทำให้เนื้อปลาเละ อาจทำให้มีกลิ่นคาวได้)
รอให้เนื้อปลาสุกใส่ใบมะกรูด ก็เป็นอันเสร็จสิ้น


ง่ายๆเท่านี้คุณก็จะได้กินต้มยำปลารสแซ่บ แบบง่ายๆ แต่รสชาติอร่อยแน่นอนคะ



ขนมจีนน้ำเงี้ยว (ซุปเปอร์)

     หากคุณได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวทางภาคเหนือ และอยากจะรับประทานอาหารเหนือแท้ๆ ต้องนึกถึงเมนูนี้แน่ๆเลยค่ะ ขนมจีนน้ำเงี้ยว เพราะเป็นอาหารขึ้นชื่อของทางเหนือเขาล่ะค่ะ บางคนเห็นแล้วคงคิดว่าเป็นเมนูที่ดูเหมือนจะทำยาก วันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำวิธีทำให้ รับรองว่าง่ายจริงๆค่ะ
                                    เมนู :  ขนมจีนน้ำเงี้ยว (ซุปเปอร์)



เครื่องปรุง
1. กระดูกหมู ครึ่งกิโล (สำหรับต้มน้ำซุป)
2. หมูบด ครึ่งกิโล หรือจะน้อยกว่านี้ก็ได้ตามชอบเลยค่ะ
3. ดอกงิ้ว  (แช่น้ำทิ้งไว้สักคืนก็ดีนะค่ะ)
4. มะเขือเทศ
5. เลือดไก่ก้อน
6. พริกน้ำเงี้ยว (สำเร็จรูปมีขายตามท้องตลาดไม่ต้องโขลกเองค่ะ)
7. เกลือ / ผงรสดี
8. น้ำมันพืช
9. ซุปเปอร์ (ตีนไก่ดีดีนี่เองแหละค่ะ)
10. ถั่วเน่า (อันนี้แล้วแต่ชอบค่ะ ไม่ใส่ก็ได้ไม่เสียหาย เมนูนี้ขอไม่ใส่นะค่ะ)

กระดูกหมู

หมูบด
ตีนไก่
ดอกงิ้ว
มะเขือเทศ

เลือดไก่ก้อน

พริกน้ำเงี้ยว

วิธีทำ
1.  เริ่มจากการต้มน้ำซุปก่อน ตั้งหม้อให้ไฟเดือดๆ ใส่กระดูกหมูเติมเกลือสัก 2-3 ช้อนชา อันนี้แล้วแต่ปริมาณน้ำนะค่ะ อยากพึ่งใส่เกลือเยอะ เพราะเติมภายหลังได้ หรือจะเติมผงรสดีสัก 1 ช้อนชาก็ได้ค่ะเพื่อเพิ่มรสชาดที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น หม้อเดือดสักพักเติมซุปเปอร์ลงไป ต้มทิ้งไว้จนกระดูกหมูและซุปเปอร์เปื่อย



2.  ตั้งกะทะใส่น้ำมันพืช ผัดพริกน้ำเงี้ยวให้หอม ใส่หมูบดลงไปผัดให้เข้ากันนจะเริ่มสุก ใส่มะเขื่อเทศและตามด้วยดอกงิ้วลงไปผัดให้เข้ากัน ระหว่างผัดหากติดกะทะก็เติมน้ำซุปลงไปได้เรื่อยๆค่ะ ตามด้วยใส่เลือดไก่ก้อน ผัดอีกสักครู่ เทน้ำซุปทีมีทั้งกระดูกหมู และ ซุปเปอร์ลงในหม้อ ตั้งหม้อทิ้งให้เดือดอีกสัก 10 นาทีก็เป็นอันเสร็จค่ะ









                                                หน้าตาน่าทานไหม


                   พร้อมเสริฟ กับผักดอง ต้นหอมผักชี (จะเพิ่มผักเป็นถั่วงอก กระหล่ำซอยก็ได้นะค่ะ)

แกงกะทิเห็ดแครงใส่หมู

          เห็ดแครง หรือ เห็ดตีนตุ๊กแก (Schizophyllum commune) เป็นเห็ดที่ขึ้นได้ทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลกและงอกได้ตลอดปี เป็นเห็ดขนาดเล็กลักษณะคล้ายเปลือกหอยแครง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-4 เซนติเมตร รูปร่างคล้ายพัด ไม่มีก้านดอก เป็นที่รู้จักมากในแถบภาคใต้ พบมากบนท่อนไม้ยางพาราที่ตัดทิ้งไว้ มีคุณค่าทางโภชนาการ มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสูง นิยมนำมาแกงคั่วกับปลาย่าง หรือนำมาย่างโดยโขลกพริกขี้หนู ข่า ตะไคร้ ขมิ้น พริกไทย แล้วนำเห็ดแครงผสมลงไป พร้อมด้วยมะพร้าวขูด และไข่ไก่ แล้วห่อด้วยใบตองนำไปปิ้งกับเตาถ่าน และนำมาทำ แกงสมรม ซึ่งเป็นแกงที่ขาดไม่ได้ สำหรับงานบุญสารทเดือนสิบ ส่วนในประเทศญี่ปุ่นจะใช้ทำเป็นยาเนื่องจากมีสารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้าน เชื้อไวรัสและยับยั้งเซลล์มะเร็ง  (ข้อมูลจาก th.wikipedia.org)


image
          กลับบ้านครั้งนี้แม่เก็บไว้ให้ถาดนึง เป็นเห็ดแครงที่ขึ้นที่สวนยางพาราที่ข้างบ้านที่พึ่งโค่นไปไม่นาน จากที่เห็นเต็มถาดแบบนี้ แกงได้อีกหลายครั้งทีเดียว  อย่างที่บอก มันสามารถเก็บไว้ได้นาน วันนี้เลยเอามาแกงกะทิใส่หมูกัน  ก็แบ่งมาซะหน่อยครับ จะเห็นว่ารูปซ้ายมือ มันแห้งแล้วจะดูว่าน้อย จากนั้นให้เราเอาแช่น้ำไว้ซัก 15 นาที โห เยอะขึ้นมาเลย ให้มันพองแบบนี้ ล้างให้สะอาดอีกครั้งก็เตรียมขั้นตอนต่อไป
 2013-08-04 10.02.57 2013-08-04 10.36.52
เครื่องปรุง
1.เห็ดแครง (ตามที่เราเตรียมไว้ก่อนหน้า)
2.กะทิ (เอาแต่หัวกะทิ)
3.เนื้อหมูหั่นชิ้น หรือกุ้งก็ได้ ตามแต่ชอบ
4.พริกแกงคั่ว
5.กะปิ
6.เกลือ
วิธีทำ
ใส่หัวกะทิตั้งไฟพอให้แตกมัน จากนั้นใส่พริกแกงคั่วประมาณ 1 ช้อโต๊ะ กะปิ ครึ่งช้อนโต๊ ละลายให้เข้ากัน เติมเกลือครึ่งช้อนชา เมื่อหม้อเดือดแล้ว ก็เติมเนื้อหมูลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 10 ถึง 15 นาทีจากนั้นก็เอาเห็ดแครงใส่ลงไป ปิดฝาตั้งหม้อให้เดือดต่ออีกเล็กน้อย จนกว่าเห็ดแครงสุก ชิมรส ปรุ่งตามใจชอบ
2013-08-04 10.59.11
เท่านี้ก็จะได้แกงกะทิเห็ดแครงหมูมากินกับข้าวร้อนๆแล้ว

2013-08-04 11.21.20

ผัดเห็ดแครงใส่ไข่

         ครั้งที่แล้วก็ทำ แกงกะทิเห็ดแครงใส่หมู  เห็ดแครงยังเหลืออยู่ในตู้เย็นอยู่ บอกแล้วว่าเห็ดแครงแห้งสามารถเก็บไว้ได้นานครับ วันนี้เลยเอามาทำอะไรง่ายๆอีกอย่างหนึ่งคือ ผัดเห็ดแครงใส่ไข่ ขั้นแรกมาดูส่วนประกอบกันก่อน
ส่วนประกอบ
1.เห็ดแครง  1 ถ้วย
2. น้ำปลา
3.กระเทียมทุบ
4.เกลือป่น
5.น้ำมัน 

วิธีทำ
1.ล้างเห็ดแครงให้สะอาด ใส่ตระแกรงพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2.ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใส่กระเทียมผัดพอหอม
3.ใส่เห็ดแครง ผัดต่อจนเห็ดแครงเกือบสุก

  4.ตอกไข่ใส่ ผัดซักพัก เติมรสชาดตามอัธยาศัย


..เป็นอันเรียบร้อย ผัดเห็ดแครงใส่ไข่ กินกับข้าวสวยร้อนๆ ^_^
  


แกงกะทิสับปะรดหมู (แบบภาคใต้)

                                              แกงกะทิสับปะรดหมู (แบบภาคใต้)

    วันนี้ผู้เขียนจะแนะนำเมนูอาหารที่ทำง่ายๆอีกหนึ่งเมนู แกงกะทิสับปะรดหมู (แบบภาคใต้) ที่บอกว่าแบบภาคใต้เพราะผู้เขียนเลือกใช้พริกแกงใต้ที่มีสีเหลืองของขมิ้นชวนให้น่ากินยิ่งขึ้นไปอีก ว่าแล้วเรามาดูวิธีการทำกันเลยดีกว่า
เครื่องปรุง
1. สับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอคำ
2. เนื้อหมูหั่นเป็นชิ้น
3. กะทิ (ทั้งหัวและหาง)
4. พริกแกงเผ็ด
5. กะปิ (เคอย)
6. เกลือ


วิธีทำ
เริ่มต้นด้วยการเคี้ยวหัวกะทิให้พอแตกมัน ใช้ไฟอ่อนๆก็พอ (เดี๋ยวกะทิจะเป็นก้อน) จากนั้นใส่พริกแกงเผ็ดลงประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ !อันนี้เพิ่มได้ตามความชอบ ชอบเผ็ดก็ใส่ลงไปเพิ่มได้อีกเหมือนผู้เขียนขอเป็น 1 ช้อนโต๊ะเลยแล้วกัน เคี้ยวให้เข้ากันตามด้วยกะปิเคอยอีกประมาณครึ่งช้อนโต๊ะ เคี้ยวส่วนผสมให้เข้ากันแต่ตั้งหม้อให้เดือดค่อยใส่เนื้อหมูลงไป เติมเกลือสักครึ่งช้อนชา



ตั้งหม้อทิ้งไว้ให้เนื้อหมูสุกค่อยใส่สับปะรดที่หั่นเป็นชิ้นไว้แล้วลงไป ทิ้งให้สับปะรดเข้ารสเครื่องปรุงต่ออีกสัก 10 นาที เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

และแล้วครั้งนี้ผู้เขียนก็หิวเกินไป จนลืมถ่ายภาพก่อนยกมาเสริฟซะงั้น แค่คิดว่าทุกท่านคงพอจะนึกภาพออกกันเนอะ ^_^ พอดีลืมถ่ายรูปตอนตักใส่ถ้วย ซะงั้น 55
Advertisement